"ณเดชน์"ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่ติดหัวโขน-มองทางอย่างระวัง
สมรัก บรรลังก์
เปิดศักราชใหม่กับปีม้า ด้วยพระเอกสุดหล่อ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" หรือ "แบร์รี่" ที่ยังคงเป็นดาราชายที่แฟนๆ ชื่นชอบที่สุด
แม้จะเข้าวงการมาหลายปี มีพระเอกหน้าใหม่มาแรงแจ้งเกิด แต่ก็ยังไม่มีใครมาทำให้คะแนนของหนุ่มน้อยแบร์รี่คนนี้ตกลงได้
อะไรที่ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนๆ อย่างเหนียวแน่น วันนี้ไปฟังคำตอบจากปากของเขากัน
กี่ปีแล้วที่เข้าวงการ
ณเดชน์ - "4 ปีแล้วครับ ถามว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ชีวิตมีอะไรแตกต่างบ้าง คือมันไม่ได้ต่างขนาดเห็นได้ชัด ชีวิตคนมันก็มาเรื่อยๆ พัฒนาตามเวลา ตามประสบการณ์ ตามสายงานอาชีพ สิ่งที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดอาจเป็นเรื่องการวางตัว นิสัย พอโตขึ้นต้องมีการวางตัวที่อาจจะดูแบบไม่ใช่เด็กกะร่องกะแร่งเหมือนที่อยู่บ้าน ต้องมีกาลเทศะ"
ตอนแรกมองภาพวงการไว้อย่างไรบ้าง
ณเดชน์ - "ช่วงแรกที่เข้ามามันไม่รู้อะไร มันตื่นเต้นในการทำงาน สนุก ก็ไม่ได้คิดอะไร พอเดินทางมา 4 ปี ผ่านอะไรมาเยอะ มันก็มีสิ่งที่เปลี่ยนเยอะมาก"
"คนเข้าวงการใหม่ๆ จะมองไปแต่ข้างหน้า มุ่งไปหาความฝัน มุ่งไปหาสิ่งที่ต้องการ แต่พอเวลาผ่านไปจะกลับมามองข้างหลังแทน คือตอนเข้ามาใหม่ๆ จะไม่กังวล ไม่กลัว ไม่มีศัตรู เพราะเราอ่อนต่อโลก พออยู่ไปเรื่อยๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาวอย่างที่เขาบอก ทำให้เราหันไปมองข้างหลังว่ามีใครเดินตามเราบ้าง ใครหมายปองในสิ่งที่ดีบ้าง มีใครหมายปองในสิ่งที่ร้ายบ้าง จากที่มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ก็ต้องกลับมามองข้างหลังด้วย"
เจอหรือเปล่า กับคนที่มองดีก็มี มองร้ายก็มี
ณเดชน์ - "เรื่องผิดๆ เจอครับ ผมไม่อยากพูดไปนะ"
เอาเป็นว่าเรื่องนี้จะเป็นอุทาหรณ์กับนักแสดงรุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามา
ณเดชน์ - "ผมว่าพูดถึงเรื่องความจำเป็นของชีวิตนะครับ เงินเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตที่เพื่อนแท้ก็ฆ่ากันตายได้ คนในครอบครัวก็ฆ่ากันตายได้ ฉะนั้นในปัจจุบันชีวิตคนเราจะมองว่าเงินสำคัญที่สุด พอพูดถึงเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หาเพื่อความสุข เพื่อความสบาย เพื่อความฝัน เพราะฉะนั้นพอทำงานในวงการเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เรื่องการคุยงาน ข้อตกลง สัญญา เรื่องเอารัดเอาเปรียบ เรื่องคดโกง ต้องระวัง แต่ผมโชคดีที่มีแม่มาดูแล ปกป้องเราได้ แม่เป็นผู้ใหญ่มีวิธีการที่ดูแลจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น เจอมา แต่ก็แก้ไขมันได้"
ผ่านไปได้อย่างไรกับความรู้สึกแบบนี้ เพราะบางทีเราไม่ได้ทำแท้ๆ แต่ต้องรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ณเดชน์ - "ง่ายสุดคือปล่อยไป อยู่มา 4 ปี เจอมาเยอะ ทั้งตัวเอง ครอบครัว เรื่องนั้นเรื่องนี้ซ้ำซาก มันชินและไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เอาเวลาใส่ใจกับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรามากกว่า"
บางช่วงท้อหรือเปล่ากับปัญหาที่เป็นแบบนี้
ณเดชน์ - "แรกๆ เลย แต่ไม่ได้ท้อเรื่องข่าว จะท้อเรื่องทำไมต้องตื่นตี 4 ตี 5 มาทำงานทุกวัน เพื่อนก็อยู่ขอนแก่น ชีวิตเรียนไปไหน เป็นอารมณ์ชั่ววูบ เคยตื่นแล้วคิดว่าวันนี้ไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากทำนู่นทำนี่ ช่วงนั้นอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ ขาดชีวิตวัยรุ่นทั่วไป เล่นละครเรื่องแรกอายุ 18 กำลังเป็นวัยอยู่กับเพื่อน ไปเรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันหดหู่ ทำไมต้องมาทำงานงกๆ แต่หลังจากนั้นคิดได้ว่าสิ่งที่เราทำก็เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่ออนาคต"
"พอผมเริ่มดังทุกสิ่งก็เข้ามา เวลา 24 ชั่วโมงไม่พอ ด้วยกรุงเทพฯ รถติด ไปแค่ 2 ที่ก็เป็นวันแล้ว ถ้าขึ้นรถไฟฟ้าโอเคไปได้ซัก 3-4 ที่ ถ้าขับรถไปเองไปได้แค่ที่เดียว แต่รถไฟฟ้านี่เป็นที่ที่ผมรู้สึกว่าเงียบสงบ นักแสดงคนไหนกลัวการขึ้นรถไฟฟ้า บอกเลยขึ้นได้ ยิ่งกว่าเดินถนนอีก เพราะทุกคนก้มเล่นมือถือ ผมเข้าไปก็ยืนนิ่งเหมือนทุกคน มีบ้างที่มาขอถ่ายรูปหรือยิ้มให้ แต่ส่วนใหญ่จะเล่นมือถือเหมือนเพลง ที่เขาแต่ง โอมจงเงย(หัวเราะ) ผมขึ้นรถไฟฟ้าบ่อยครับ"
ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป เยอะไหม จากเมื่อ 4 ปีที่แล้วกับวันนี้
ณเดชน์ - "เปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนไปในทางที่ดี มีความสุขเยอะขึ้น ได้เจอสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ดีหมด แล้วเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดี อาการเหนื่อยอาจมี แต่เรื่องท้อน้อยเนื้อต่ำใจไม่มีเลย เหนื่อยเรื่องทำงานแต่มันก็สนุก เพราะผมอยู่ในเส้นทางที่ชีวิตร่าเริง ไม่ค่อยเครียด ในวงการบันเทิงมีทั้งคนตลก คนฮา คนทะลึ่ง มีทุกชีวิตอยู่ในนี้ แล้วเวลามา กองถ่ายเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ที่ทุกคนหยอกล้อสนุกสนาน"
ตอนแรกชอบการเป็นนักแสดงหรือยัง หรือยังไม่รู้
ณเดชน์ - "ตอนแรกยังไม่รู้ว่าชอบไม่ชอบ ไม่รู้ตัวเองยังไง แต่ทำเพราะเป็นโอกาสและมีรายได้ก็ทำไปก่อน พออยู่ไปซักพักก็อินกับมัน เล่นละครเหมือนเป็นเสน่ห์ เวลาที่เล่นเหมือนได้ค้นหาตัวเอง"
ถือว่า ณ เวลานี้ตัวเองพีกสุดหรือเปล่า
ณเดชน์ - "ผมว่าคงมีคนเบื่อหน้าบ้างนะ อาจแก่ไปแล้ว ตอนนี้อายุ 22 ปี พอมีรุ่นน้องใหม่ๆ มา เป็นล็อตใหม่รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ขึ้น"
เดิม "ณเดชน์-ญาญ่า" คือคู่พีกสุด แต่เวลานี้มีคนใหม่ อย่าง "เจมส์-จิ" หรือคนอื่นๆ คิดอย่างไร
ณเดชน์ - "ผมว่ามันเป็นเหมือนช่วงโอกาสของแต่ละคน แต่ละคนมีจุดยืนเป็นของตัวเอง อย่างน้องเจมส์-จิ ผมว่าเป็นช่วงโอกาสของน้องที่ดีมากๆ ไม่ได้มาเกทับใคร คือไม่ได้มาทับผมหรืออะไร เพราะน้องเขามีเสน่ห์เวลาเล่นละคร หน้าตาน่ารัก นิสัยก็ดี ทำให้เขามีจุดยืนของเขา เขาสามารถครองใจแฟนๆ ได้ ส่วนผมกับญาญ่าอาจเป็นอีกรุ่น อาจจะไม่ใช่รุ่นใหม่อย่างน้องเจมส์-จิ เจมส์ มาร์"
รู้สึกเหมือนถูกแย่งตำแหน่งไปหรือเปล่า
ณเดชน์ - "ไม่นะครับ ผมไม่ได้รู้สึกยึดกับตำแหน่ง แบบว่าซุป"ตาร์ หรือพระเอกแนวหน้า ผมว่าเหมือนเป็นจังหวะของแต่ละคน เจอน้องตอนงานช่อง 3 ก็คุยกัน แต่คุยกันเรื่องอื่น แน่ๆ ต้องมีคนจับมาเปรียบเทียบกัน รู้สึกแย่กับสิ่งที่เขาคิด เพราะจริงๆ แล้วแต่ละคนก็ต่างทำงาน พอมีข่าวมันก็เป็นจุดที่ทำให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดมุมมองข้างนอกที่ไม่ดี ทำไมต้องคิดแบบนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วสองคนไม่ได้มีอะไรกันเลย"
"ณเดชน์"ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่ติดหัวโขน-มองทางอย่างระวัง
"ณเดชน์"ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่ติดหัวโขน-มองทางอย่างระวัง
สมรัก บรรลังก์
เปิดศักราชใหม่กับปีม้า ด้วยพระเอกสุดหล่อ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" หรือ "แบร์รี่" ที่ยังคงเป็นดาราชายที่แฟนๆ ชื่นชอบที่สุด
แม้จะเข้าวงการมาหลายปี มีพระเอกหน้าใหม่มาแรงแจ้งเกิด แต่ก็ยังไม่มีใครมาทำให้คะแนนของหนุ่มน้อยแบร์รี่คนนี้ตกลงได้
อะไรที่ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนๆ อย่างเหนียวแน่น วันนี้ไปฟังคำตอบจากปากของเขากัน
กี่ปีแล้วที่เข้าวงการ
ณเดชน์ - "4 ปีแล้วครับ ถามว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ชีวิตมีอะไรแตกต่างบ้าง คือมันไม่ได้ต่างขนาดเห็นได้ชัด ชีวิตคนมันก็มาเรื่อยๆ พัฒนาตามเวลา ตามประสบการณ์ ตามสายงานอาชีพ สิ่งที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดอาจเป็นเรื่องการวางตัว นิสัย พอโตขึ้นต้องมีการวางตัวที่อาจจะดูแบบไม่ใช่เด็กกะร่องกะแร่งเหมือนที่อยู่บ้าน ต้องมีกาลเทศะ"
ตอนแรกมองภาพวงการไว้อย่างไรบ้าง
ณเดชน์ - "ช่วงแรกที่เข้ามามันไม่รู้อะไร มันตื่นเต้นในการทำงาน สนุก ก็ไม่ได้คิดอะไร พอเดินทางมา 4 ปี ผ่านอะไรมาเยอะ มันก็มีสิ่งที่เปลี่ยนเยอะมาก"
"คนเข้าวงการใหม่ๆ จะมองไปแต่ข้างหน้า มุ่งไปหาความฝัน มุ่งไปหาสิ่งที่ต้องการ แต่พอเวลาผ่านไปจะกลับมามองข้างหลังแทน คือตอนเข้ามาใหม่ๆ จะไม่กังวล ไม่กลัว ไม่มีศัตรู เพราะเราอ่อนต่อโลก พออยู่ไปเรื่อยๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาวอย่างที่เขาบอก ทำให้เราหันไปมองข้างหลังว่ามีใครเดินตามเราบ้าง ใครหมายปองในสิ่งที่ดีบ้าง มีใครหมายปองในสิ่งที่ร้ายบ้าง จากที่มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ก็ต้องกลับมามองข้างหลังด้วย"
เจอหรือเปล่า กับคนที่มองดีก็มี มองร้ายก็มี
ณเดชน์ - "เรื่องผิดๆ เจอครับ ผมไม่อยากพูดไปนะ"
เอาเป็นว่าเรื่องนี้จะเป็นอุทาหรณ์กับนักแสดงรุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามา
ณเดชน์ - "ผมว่าพูดถึงเรื่องความจำเป็นของชีวิตนะครับ เงินเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตที่เพื่อนแท้ก็ฆ่ากันตายได้ คนในครอบครัวก็ฆ่ากันตายได้ ฉะนั้นในปัจจุบันชีวิตคนเราจะมองว่าเงินสำคัญที่สุด พอพูดถึงเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หาเพื่อความสุข เพื่อความสบาย เพื่อความฝัน เพราะฉะนั้นพอทำงานในวงการเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เรื่องการคุยงาน ข้อตกลง สัญญา เรื่องเอารัดเอาเปรียบ เรื่องคดโกง ต้องระวัง แต่ผมโชคดีที่มีแม่มาดูแล ปกป้องเราได้ แม่เป็นผู้ใหญ่มีวิธีการที่ดูแลจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น เจอมา แต่ก็แก้ไขมันได้"
ผ่านไปได้อย่างไรกับความรู้สึกแบบนี้ เพราะบางทีเราไม่ได้ทำแท้ๆ แต่ต้องรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ณเดชน์ - "ง่ายสุดคือปล่อยไป อยู่มา 4 ปี เจอมาเยอะ ทั้งตัวเอง ครอบครัว เรื่องนั้นเรื่องนี้ซ้ำซาก มันชินและไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เอาเวลาใส่ใจกับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรามากกว่า"
บางช่วงท้อหรือเปล่ากับปัญหาที่เป็นแบบนี้
ณเดชน์ - "แรกๆ เลย แต่ไม่ได้ท้อเรื่องข่าว จะท้อเรื่องทำไมต้องตื่นตี 4 ตี 5 มาทำงานทุกวัน เพื่อนก็อยู่ขอนแก่น ชีวิตเรียนไปไหน เป็นอารมณ์ชั่ววูบ เคยตื่นแล้วคิดว่าวันนี้ไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากทำนู่นทำนี่ ช่วงนั้นอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ ขาดชีวิตวัยรุ่นทั่วไป เล่นละครเรื่องแรกอายุ 18 กำลังเป็นวัยอยู่กับเพื่อน ไปเรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันหดหู่ ทำไมต้องมาทำงานงกๆ แต่หลังจากนั้นคิดได้ว่าสิ่งที่เราทำก็เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่ออนาคต"
"พอผมเริ่มดังทุกสิ่งก็เข้ามา เวลา 24 ชั่วโมงไม่พอ ด้วยกรุงเทพฯ รถติด ไปแค่ 2 ที่ก็เป็นวันแล้ว ถ้าขึ้นรถไฟฟ้าโอเคไปได้ซัก 3-4 ที่ ถ้าขับรถไปเองไปได้แค่ที่เดียว แต่รถไฟฟ้านี่เป็นที่ที่ผมรู้สึกว่าเงียบสงบ นักแสดงคนไหนกลัวการขึ้นรถไฟฟ้า บอกเลยขึ้นได้ ยิ่งกว่าเดินถนนอีก เพราะทุกคนก้มเล่นมือถือ ผมเข้าไปก็ยืนนิ่งเหมือนทุกคน มีบ้างที่มาขอถ่ายรูปหรือยิ้มให้ แต่ส่วนใหญ่จะเล่นมือถือเหมือนเพลง ที่เขาแต่ง โอมจงเงย(หัวเราะ) ผมขึ้นรถไฟฟ้าบ่อยครับ"
ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป เยอะไหม จากเมื่อ 4 ปีที่แล้วกับวันนี้
ณเดชน์ - "เปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนไปในทางที่ดี มีความสุขเยอะขึ้น ได้เจอสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ดีหมด แล้วเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดี อาการเหนื่อยอาจมี แต่เรื่องท้อน้อยเนื้อต่ำใจไม่มีเลย เหนื่อยเรื่องทำงานแต่มันก็สนุก เพราะผมอยู่ในเส้นทางที่ชีวิตร่าเริง ไม่ค่อยเครียด ในวงการบันเทิงมีทั้งคนตลก คนฮา คนทะลึ่ง มีทุกชีวิตอยู่ในนี้ แล้วเวลามา กองถ่ายเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ที่ทุกคนหยอกล้อสนุกสนาน"
ตอนแรกชอบการเป็นนักแสดงหรือยัง หรือยังไม่รู้
ณเดชน์ - "ตอนแรกยังไม่รู้ว่าชอบไม่ชอบ ไม่รู้ตัวเองยังไง แต่ทำเพราะเป็นโอกาสและมีรายได้ก็ทำไปก่อน พออยู่ไปซักพักก็อินกับมัน เล่นละครเหมือนเป็นเสน่ห์ เวลาที่เล่นเหมือนได้ค้นหาตัวเอง"
ถือว่า ณ เวลานี้ตัวเองพีกสุดหรือเปล่า
ณเดชน์ - "ผมว่าคงมีคนเบื่อหน้าบ้างนะ อาจแก่ไปแล้ว ตอนนี้อายุ 22 ปี พอมีรุ่นน้องใหม่ๆ มา เป็นล็อตใหม่รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ขึ้น"
เดิม "ณเดชน์-ญาญ่า" คือคู่พีกสุด แต่เวลานี้มีคนใหม่ อย่าง "เจมส์-จิ" หรือคนอื่นๆ คิดอย่างไร
ณเดชน์ - "ผมว่ามันเป็นเหมือนช่วงโอกาสของแต่ละคน แต่ละคนมีจุดยืนเป็นของตัวเอง อย่างน้องเจมส์-จิ ผมว่าเป็นช่วงโอกาสของน้องที่ดีมากๆ ไม่ได้มาเกทับใคร คือไม่ได้มาทับผมหรืออะไร เพราะน้องเขามีเสน่ห์เวลาเล่นละคร หน้าตาน่ารัก นิสัยก็ดี ทำให้เขามีจุดยืนของเขา เขาสามารถครองใจแฟนๆ ได้ ส่วนผมกับญาญ่าอาจเป็นอีกรุ่น อาจจะไม่ใช่รุ่นใหม่อย่างน้องเจมส์-จิ เจมส์ มาร์"
รู้สึกเหมือนถูกแย่งตำแหน่งไปหรือเปล่า
ณเดชน์ - "ไม่นะครับ ผมไม่ได้รู้สึกยึดกับตำแหน่ง แบบว่าซุป"ตาร์ หรือพระเอกแนวหน้า ผมว่าเหมือนเป็นจังหวะของแต่ละคน เจอน้องตอนงานช่อง 3 ก็คุยกัน แต่คุยกันเรื่องอื่น แน่ๆ ต้องมีคนจับมาเปรียบเทียบกัน รู้สึกแย่กับสิ่งที่เขาคิด เพราะจริงๆ แล้วแต่ละคนก็ต่างทำงาน พอมีข่าวมันก็เป็นจุดที่ทำให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดมุมมองข้างนอกที่ไม่ดี ทำไมต้องคิดแบบนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วสองคนไม่ได้มีอะไรกันเลย"